COTTO แจ้งผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2566 โดยมีรายได้จากการขาย 3,458 ล้านบาท เพิ่มขึ้น ร้อยละ 7 และกำไรเพิ่มขึ้นร้อยละ 23 จากการที่บริษัทพยายามปรับราคาสินค้าขึ้นบางรายการ และควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการบริหารร่วมกับการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต เพื่อลดผลกระทบจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นจากต้นทุนวัตถุดิบและพลังงานโดยเฉพาะราคาก๊าซธรรมชาติ คว้า “Thailand’s Most Admired Brand” ติดต่อกันเป็นปีที่ 12 ล่าสุด วัสดุตกแต่งพื้นผิว Soft+Floor Collection LT by COTTO และ กระเบื้อง COTTO ECO Collection เตรียมรับรางวัลกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่สมาคมสถาปนิกสยามแนะนำ “ASA Platform Selected Materials 2023” จากงาน สถาปนิก’66 ตอกย้ำแนวทางสร้างมูลค่าเพิ่มจากสินค้านวัตกรรมและสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มั่นใจ ประชุมวิสามัญฯ 23 พ.ค.นี้ ผู้ถือหุ้นอนุมัติสนับสนุนเพิกถอน COTTO ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ พร้อมแลกหุ้นเพื่อต่อยอดขึ้นเป็นผู้นำธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ครบวงจรในอาเซียน ภายใต้ SCG Decor 

นายนำพล มลิชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัทเอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ COTTO และประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี เดคคอร์ จำกัด หรือ SCG Decorเปิดเผยถึงงบการเงินรวมก่อนสอบทาน ของ COTTO ในไตรมาสที่ 1 ปี 2566 ว่า บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 3,458 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากการปรับราคาสินค้าขึ้นบางรายการ แม้ว่าปริมาณการขายภาพรวมจะลดลงร้อยละ 10 ซึ่งส่วนใหญ่มาจากปริมาณการขายส่งออกที่ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนก็ตาม นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีรายได้จากการขายที่ดิน 25 ล้านบาทอีกส่วนหนึ่งด้วย จึงทำให้มีกำไรสำหรับงวด 260 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 23 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้ ความต้องการใช้กระเบื้องเซรามิกในไตรมาสนี้ มีแนวโน้มทรงตัวจากปีที่ผ่านมา โดยกำลังซื้อชะลอตัวในตลาดชาวบ้านตามอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับสูง แต่ในพื้นที่เมืองท่องเที่ยวมีกำลังซื้อฟื้นตัวอย่างชัดเจนโดยได้อานิสงส์จากการท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคักและการเปิดประเทศของจีน สำหรับราคาพลังงานยังคงเพิ่มขึ้นแต่เป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอลงตามสถานการณ์ราคาพลังงานในตลาดโลก

“อย่างไรก็ตามในไตรมาสที่ 2 คาดว่าจะมีแนวโน้มที่ดี จากการฟื้นตัวในภาคการท่องเที่ยวและความต่อเนื่องของงานโครงการภาคเอกชน ถึงแม้ว่ากำลังซื้อในตลาดชาวบ้านจะยังชะลอตัวก็ตาม นอกจากนี้ยังคงมีความเสี่ยงที่ยังต้องพิจารณา ได้แก่ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจากวิกฤติเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงที่อาจส่งผลกระทบต่อความต้องการสินค้า รวมถึงการผันผวนของราคาพลังงานที่จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิต โดยบริษัทฯ จะยังคงเน้นการควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการบริหารร่วมกับการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตอย่างต่อเนื่อง” นายนำพล กล่าว

ในส่วนของกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ การพัฒนาสินค้าและบริการเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และการคงสถานะผู้นำตลาดเซรามิกในประเทศนั้น นายนำพล เปิดเผยว่า บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวมาโดยตลอด จึงเป็นที่น่าภูมิใจว่าในปีนี้ กระเบื้องปูพื้นและกรุผนัง COTTO ยังสามารถคว้ารางวัลแบรนด์อันดับ 1 ในใจผู้บริโภคประจำปี  2566 หรือ “Thailands Most Admired Brand” ได้ติดต่อกันเป็นปีที่ 12 พร้อมกันนี้ จะเร่งต่อยอดพัฒนาสินค้านวัตกรรมและสินค้ามูลค่าเพิ่มที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากกลุ่มผู้บริโภคให้ความสำคัญกับปัจจัย “รักษ์โลก” เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ  อีกทั้งยังเป็นการตอกย้ำสถานะผู้นำเทรนด์นวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยและมุ่งตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของแบรนด์ COTTO ด้วยการพัฒนาสินค้าตามแนวทางการดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืนจากการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ลดการใช้พลังงาน และสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยนวัตกรรมสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยบริษัทฯ มีการตั้งเป้าหมายสัดส่วนยอดขายสินค้าที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสิ่งแวดล้อมฉลาก SCG Green Choice เป็นจำนวนร้อยละ 80 ของรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ภายในปี 2573

“เมื่อต้นปี 2565 COTTO ได้เปิดตัว กระเบื้อง ECO Collection ที่ลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติลงร้อยละ 80 จากการนำของเหลือในกระบวนการการผลิตกลับมาใช้ใหม่ตามแนวทาง Zero Waste รวมถึงลดการใช้น้ำในกระบวนการผลิต และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการขนส่งลงถึงร้อยละ 75 ปัจจุบันผ่านมาแล้ว 1 ปี ล่าสุด กระเบื้อง ECO Collection ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่สมาคมสถาปนิกสยามแนะนำ โดยได้รับรางวัล “ASA Platform Selected Materials 2023 ประเภท Sustainable Materials ร่วมด้วย วัสดุตกแต่งพื้นผิว Soft+Floor Collection LT by COTTO ที่ได้รับรางวัลประเภท Healthcare and Hygiene Materials จากงานสถาปนิก’66 สะท้อนให้เห็นว่าเมื่อบริษัท ให้ความสำคัญและดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ผู้บริโภคและลูกค้ากลุ่มเป้าหมายก็พร้อมที่จะให้การตอบรับและสนับสนุนผลิตภัณฑ์ ตลอดจนองค์กรที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมเช่นกัน” นายนำพล กล่าว

นายนำพล กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้านความคืบหน้าเรื่องการขออนุมัติผู้ถือหุ้นนั้น COTTO จะจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นขึ้นในวันที่ 23 พฤษภาคมนี้ โดยคณะกรรมการบริษัทฯ เชื่อมั่นว่าจะได้รับการสนับสนุนและได้รับการอนุมัติอย่างเป็นเอกฉันท์จากผู้ถือหุ้น เนื่องจาก SCG Decor ได้ประกาศแผนที่จะเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดของ COTTO ในราคา 2.40 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่าราคาซื้อขายปัจจุบัน และสูงกว่าราคา ณ วันที่ประกาศ ที่สำคัญ SCG Decor ยังเป็นบริษัทแกนหลักของ SCG และเป็นผู้นำธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ครบวงจรในอาเซียนซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิมถึง 6 เท่า จึงมีโอกาสที่จะเติบโตและสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นได้มากกว่า หลังจากที่ SCG Decor ได้เข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว

“ขณะนี้ COTTO และ SCG Decor ได้ร่วมกันเผยแพร่ข้อมูลโดยละเอียดอย่างโปร่งใสผ่านช่องทางต่าง ๆ ทั้งเว็บไซต์ของบริษัทและตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมถึงสื่อมวลชนทุกแขนง เพื่อสร้างความเข้าใจและสร้างความกระจ่างถึงแนวทางการดำเนินธุรกิจของ SCG Decor ตลอดจนขั้นตอนการดำเนินการตามกรอบเวลาของสำนักงาน ก.ล.ต. โดยกำลังเตรียมการอย่างเต็มที่เพื่อชี้แจงและตอบข้อซักถามของผู้ถือหุ้นและนักลงทุนทุกท่านโดยละเอียด นอกจากนี้ ในช่วงปลายเดือนเมษายน ต้นเดือนพฤษภาคม SCG Decor ยังเตรียมที่จะพบปะกับผู้ถือหุ้น COTTO ทั้งที่เป็นนักลงทุนสถาบันและรายย่อย เพื่ออธิบายถึงแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจให้มากขึ้นด้วย” ทั้งนี้ ก่อนที่จะนำเสนอเพื่อขออนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น คณะกรรมการบริษัท ได้พิจารณาไตร่ตรองเรื่องการปรับโครงสร้างร่วมกับ SCG Decor โดยถี่ถ้วน และให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งกับประโยชน์ของผู้ถือหุ้น เพื่อให้ผู้ถือหุ้นและนักลงทุนทุกท่านสามารถให้ความไว้วางใจ และให้การสนับสนุนบริษัทฯ ได้อย่างมั่นใจ” นายนำพล กล่าวสรุป